หูอื้อหูดับเฉียบพลัน ภัยร้ายที่เกิดได้แบบไม่ทันตั้งตัว

พญาไท 3

2 นาที

พฤ. 10/09/2020

แชร์



หูอื้อหูดับเฉียบพลัน ภัยร้ายที่เกิดได้แบบไม่ทันตั้งตัว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสุขและการดำเนินชีวิตของเราทุกคนนั้น จำเป็นต้องอาศัย “การได้ยินเสียง” หากเมื่อไหร่เราต้องประสบปัญหาด้านการได้ยินก็คงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องพบกับความลำบากและขาดความสุขในส่วนนี้ไป

 

วันนี้เราเลยจะพาไปทำความรู้จักกับอีกหนึ่งโรคอันตรายที่ถือว่าเป็น… หนึ่งใน “ภัยเงียบ” ที่ทำร้ายการได้ยินของเราจนถึงขั้นอาจทำให้หูหนวกไป คือ “โรคเส้นประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน” ซึ่งโรคนี้จะเกิดจากสาเหตุใดและต้องรักษาอย่างไร? เราจะได้ทราบกัน!

 

เส้นประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันคืออะไร ทำไมจึงเกิดขึ้นได้ ?

“โรคเส้นประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน” หรือ “Sudden Sensorineural Hearing Loss” คือ ภาวะที่หูสูญเสียการได้ยิน “ลดลงมากกว่า 30 เดซิเบล” ในช่วงเวลา 72 ชั่วโมง โดยสามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันทั้ง 2 ข้าง แต่มักพบว่าจะเป็นข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า ซึ่งกว่า 90% ของผู้ป่วย มักไม่ทราบสาเหตุ แต่อีก 10% เกิดได้จากสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
  • เกิดจากภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ไทรอยด์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น
  • เกิดจากการได้รับยาฆ่าเชื้อในกลุ่มอะมิโนไกลโคไซด์
  • เกิดจากการไหลเวียนของเลือดในหูน้อยลง อันเนื่องมาจากความดันต่ำ หรือเสียเลือดมาก
  • เกิดจากภาวะพักผ่อนน้อยเกินไป
  • เกิดจากโรคน้ำในหูไม่เท่ากันขั้นรุนแรง ซึ่งจะทำให้มีอาการเวียนหัวร่วมด้วย
  • เกิดจากเนื้องอกในสมอง หรือเนื้องอกที่เส้นประสาทหู
  • การได้ยินเสียงดังมากๆ รวมถึงการใส่หูฟังเพลงดังๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือหลับพร้อมกับที่ยังใส่หูฟังเพลงอยู่ ก็ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันได้

 

อาการแบบไหน น่าสงสัยว่าประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน ?

อาการของโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันที่สังเกตได้ง่ายที่สุด คือ คนไข้จะสูญเสียการได้ยินแบบเฉียบพลัน โดยดับวูบไปอย่างรวดเร็วภายใน 3 วัน ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา การได้ยินก็จะบกพร่องอยู่อย่างนั้น หรือเป็นหนักขึ้นจนถึงขั้น ‘หูหนวก ไม่ได้ยินอะไรเลย’ นอกจากนี้ยังอาจมีอาการร่วมอื่นๆ ได้ เช่น การได้ยินเสียงดังในหู ซึ่งเป็นเสียงอื้อๆ ก้องๆ ที่เกิดขึ้นเองจากหู โดยที่ไม่ได้ยินเสียงภายนอก หรือบางรายจะรู้สึกเหมือนมีอะไรแน่นๆ ติดขัดในหู ความสามารถในการได้ยินลดลง ต้องคอยฟังซ้ำ ต้องเปิดทีวีเสียงดังขึ้น เป็นต้น แต่อาการโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันนี้ “จะไม่มีอาการปวดร่วมด้วย” และโรคนี้จะต่างจากภาวะหูอื้อธรรมดาโดยทั่วไปคือ จะไม่สามารถหายได้เองภายใน 1 วัน แต่จะคงอยู่ไปเรื่อยๆ และการได้ยินจะลดคุณภาพลงไปเรื่อยๆ ได้

 

วินิจฉัยอย่างไร จึงมั่นใจว่าใช่…ประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน ?

การวินิจฉัยโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน แพทย์จะทำการตรวจร่างกายคนไข้ก่อน เพื่อแยกภาวะโรคหูชั้นนอกและหูชั้นกลางออกไป หลังจากนั้นจึงนำคนไข้ไปตรวจ “Audiogram” หรือ “ตรวจการได้ยิน” ซึ่งจะใช้เวลาในการตรวจประมาณ 15-20 นาที โดยแพทย์จะพาคนไข้เข้าห้องเงียบ แล้วให้ใช้หูฟังเสียงทีละข้าง เพื่อประเมินออกมาเป็นระดับการได้ยินแบบเดซิเบล พร้อมทั้งตรวจเรื่องความเข้าใจภาษาไปพร้อมกันด้วย ซึ่งผลที่ได้ออกมาจะบอกเป็นเปอร์เซ็นต์และกราฟที่ทำให้วินิจฉัยได้อย่างชัดเจนว่า เป็นโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันหรือไม่?

 

รักษาอย่างไร เมื่อเป็นโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน ?

แนวทางในการรักษาโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันนั้น แพทย์จะใช้การรักษาด้วย “ยาสเตียรอยด์” เป็นหลัก โดยจะให้ชนิดรับประทานก่อนประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น ระดับการได้ยินยังบกพร่องรุนแรง ก็จะพิจารณารักษาด้วยการฉีดยาแบบ Intratympanic Steroid Injection แทน โดยเป็นการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในหูชั้นกลางผ่านทางเยื่อแก้วหู แล้วหลังจากนั้นก็จะทำการนัดมาตรวจการได้ยินทุกๆ 1 สัปดาห์จนกว่าคนไข้จะหายเป็นปกติ ทั้งนี้แพทย์จะพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์ ใน 3 กรณี ได้แก่

  1. คนไข้มีประวัติเป็นโรคเบาหวาน และไม่อยากทานยา เพราะการรับประทานยาสเตียรอยด์มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด การฉีดยาสเตียรอยด์จึงเป็นวิธีการรักษาที่เหมาะสมกว่า เนื่องจากยาถูกฉีดเข้าไปในหูชั้นกลางผ่านทางเยื่อแก้วหู ไม่ได้ฉีดเข้าสู่กระแสเลือด จึงไม่ทำให้ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  2. ฉีดในกรณีที่คนไข้มีอาการเสียการได้ยินขั้นรุนแรงมาก ซึ่งก็จะต้องใช้การรับประทานยาร่วมด้วย
  3. ฉีดในกรณีที่รับประทานยาแล้วไม่ได้ผล

ทั้งนี้ ในกระบวนการรักษาทั้งหมด แพทย์อาจพิจารณาให้วิตามินบี 12 เสริม เพื่อบำรุงปลายประสาทของหูให้กับคนไข้ด้วย

 

ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน ?

เนื่องจากโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลันนั้น เกิดได้ทั้งจากที่ทราบสาเหตุแน่ชัด และไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นหากไม่อยากให้โรคดังกล่าวมาทักทาย ก็ควรดูแลตัวเองตามแนวทางดังต่อไปนี้

  • หลีกเลี่ยงการฟังเสียงดัง หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีเสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานานๆ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกเสมอ เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสที่อาจทำให้หูดับได้
  • ลดอาหารรสจัด ไม่ว่าจะเป็น เค็ม มัน หวาน เพราะโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคนี้
  • หลีกเลี่ยงการแคะหูรุนแรงที่อาจทำให้แก้วหูทะลุ เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อไปยังหูชั้นในได้

 

เนื่องจากความผิดปกติของโรคประสาทหูชั้นในดับเฉียบพลัน อาจมีความคล้ายกับการหูอื้อ ได้ยินน้อยลง หลังจากได้ยินเสียงดังมากๆ จึงทำให้บางคนชะล่าใจ และปล่อยทิ้งไว้ คิดว่าเป็นแค่หูอื้อธรรมดา จึงเสี่ยงเป็นอันตรายมากขึ้น ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ หากพบอาการผิดปกติเกี่ยวกับการได้ยินที่ 1 วันแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ทันที เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยให้ทราบแน่ชัดว่าเป็นโรคใด จะได้วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที ก่อนที่จะเกิดอันตรายจนถึงขั้นหูหนวก สูญเสียการได้ยินไปตลอดกาล


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...
Loading...