แผลนูน และแผลคีลอยด์ รู้สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

พญาไท พหลโยธิน

2 นาที

จ. 17/03/2025

แชร์


Loading...
แผลนูน และแผลคีลอยด์ รู้สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

การทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของแผลเป็นแต่ละชนิดนับเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากแผลแต่ละแบบมีสาเหตุ และวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน สำหรับผู้ที่มีปัญหาแผลนูน (Hypertrophic Scar) และแผลคีลอยด์ (Keloid) ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมได้

 

แผลนูน (Hypertrophic Scar) & แผลคีลอยด์ (Keloid) คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร?

แผลนูน และแผลคีลอยด์เป็นแผลเป็นที่เกิดจากกระบวนการสมานแผล ที่มีการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปเช่นเดียวกัน แต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน ดังนี้

ลักษณะ แผลนูน (Hypertrophic Scar) แผลคีลอยด์ (Keloid)
ขอบเขตของแผล นูนขึ้นเฉพาะบริเวณแผลเดิม ไม่ขยายออกเกินขอบเขตของแผล นูนขึ้น และขยายออกเกินขอบเขตของแผลเดิม
สีของแผล สีแดง หรือชมพู อาจจางลงเมื่อเวลาผ่านไป สีแดง ม่วง หรือน้ำตาล และอาจไม่จางลง
อาการ อาจมีอาการคัน หรือปวดเล็กน้อยในช่วงแรก แต่ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป อาจมีอาการคัน ปวด และขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ
โอกาสยุบตัวเอง มีโอกาสยุบตัวลง ภายใน 6-12 เดือน แม้จะยังคงมีความนูนอยู่บ้าง หายเองไม่ได้ และอาจขยายใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง
สาเหตุหลัก เกิดจากแผลอักเสบ หรือมีแรงตึงสูง เช่น แผลผ่าตัด แผลไฟไหม้ มีปัจจัยทางพันธุกรรม และเกิดได้ง่ายแม้จากแผลเล็กๆ เช่น รอยเจาะหู สิวอักเสบ
ตำแหน่งที่พบบ่อย บริเวณที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อศอก เข่า ไหล่ บริเวณที่มีแรงตึงสูง เช่น หู หน้าอก บ่า คอ

และบริเวณอื่นๆ เช่น กราม กระดูกไหปลาร้า และกลางหลัง

การรักษา อาจดีขึ้นเอง หรือใช้ซิลิโคนเจล มักต้องรักษาด้วยวิธีที่เข้มข้นกว่า เช่น ฉีดสเตียรอยด์ เลเซอร์ การผ่าตัดร่วมกับรังสีบำบัด

ทั้งนี้ นอกจากแผลนูนและแผลคีลอยด์ ยังมีแผลเป็นประเภทอื่นๆ ที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น แผลเป็นที่ลึกบุ๋มลงไป (Depressed Scar) โดยเป็นร่อง หรือรูบุ๋มใต้ผิวหนัง หรือแผลเป็นที่มีการหดรั้ง (Scar Contracture) ทำให้เกิดการดึงรั้งอวัยวะบริเวณแผล เช่น แผลจากไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ซึ่งการรักษาจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป

 

ปัจจัยที่ทำให้บางคนเป็นแผลคีลอยด์ แต่บางคนไม่เป็น?

แม้ว่าสาเหตุการเกิดแผลคีลอยด์ (Keloid) ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความเสี่ยงในการเกิดแผลคีลอยด์ ดังนี้

  • พันธุกรรม หากมีคนในครอบครัวเคยเป็นแผลคีลอยด์ เช่น พ่อ แม่ หรือพี่น้อง จะเพิ่มความเสี่ยง เนื่องจากมีแนวโน้มที่ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนมากเกินไปเมื่อเกิดแผล
  • ระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล ที่มีการกระตุ้นการหลั่งไซโตไคน์ และไฟโบรบลาสต์ให้ผลิตคอลลาเจนเกินจำเป็นในปริมาณที่ไม่เท่ากัน
  • สีผิว ผู้ที่มีผิวสีเข้ม เช่น ชาวแอฟริกัน ละตินอเมริกัน และเอเชีย มีแนวโน้มเกิดแผลคีลอยด์มากกว่าผู้ที่มีผิวขาว ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเมลานิน (Melanin) และการตอบสนองต่อการอักเสบของแผล
  • ฮอร์โมน และอายุ โดยเฉพาะวัยรุ่น และหนุ่มสาว หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสูง
  • ตำแหน่งของแผล มักเกิดในตำแหน่งที่มีความตึงของผิวหนังสูง หรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย เช่น หน้าอก หัวไหล่ หลัง หู กราม และต้นแขน
  • ประเภทของแผล แผลที่มีการอักเสบมาก เช่น แผลไฟไหม้ แผลจากสิวอักเสบลึก แผลผ่าตัด หรือรอยสัก และการเจาะหู
  • การดูแลแผลในระยะเริ่มต้น มีผลต่อการป้องกันคีลอยด์ การทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง แผลไม่เกิดการติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการดึงแผล หรือทำให้แผลได้รับแรงตึงมากเกินไป จะช่วยลดโอกาสเกิดคีลอยด์ได้ ในทางตรงกันข้ามหากแผลหายช้า มีการอักเสบเรื้อรัง หรือเกิดการระคายเคืองบ่อยๆ เช่น มีการขัดถูแผลหรือถูกเสียดสีจากเสื้อผ้า จะกระตุ้นให้เกิดคีลอยด์ได้ง่ายขึ้น

 

วิธีรักษาแผลคีลอยด์ที่ช่วยให้แผลดูดีขึ้น

แม้ว่าแผลคีลอยด์จะรักษาให้หายขาดได้ยาก แต่มีหลายวิธีที่สามารถช่วยลดขนาดและเปลี่ยนลักษณะของแผลให้ดูดีขึ้น โดยแนวทางการรักษาจะเริ่มจากวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดก่อน (Conservative Treatment) ซึ่งสามารถรักษาได้มากกว่า 95% ของผู้ที่มีแผลในลักษณะนี้

 

การรักษาแบบอนุรักษ์ (Conservative Treatment)

  • การใช้แผ่นซิลิโคนเจลปิดแผลหลังจากบาดแผลหายดีแล้ว ประมาณ 7 วัน ควรปิดตลอด 24 ชั่วโมง นาน 3 เดือน เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และทำให้แผลเป็นจางลง
  • แผ่นเทปเหนียว (Microporous Tape) ใช้แทนแผ่นซิลิโคนในบางกรณี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และป้องกันแผลเป็นนูน
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ (Intralesional Steroid Injection) การฉีด Triamcinolone acetonide นิยมใช้เพื่อลดการอักเสบ และยับยั้งการสร้างคอลลาเจนที่มากเกินไป สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่แผลเริ่มมีลักษณะเป็นคีลอยด์ โดยเฉพาะภายใน 6 เดือนแรก เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด โดยฉีดเดือนละครั้ง หรือขึ้นกับการตอบสนองต่อการรักษา

 

การรักษาโดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

  • เลเซอร์บำบัด (Laser Therapy) การใช้เลเซอร์เช่น Pulsed Dye Laser (PDL) หรือ Fractional Laser ช่วยลดรอยแดง และทำให้แผลเป็นเรียบขึ้น จากการที่เลเซอร์ไปทำลายเส้นเลือดขนาดเล็ก และกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูของผิวหนัง ต้องทำซ้ำหลายครั้ง เพื่อให้ได้ผลดีมักใช้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น การฉีดสเตียรอยด์ เพื่อให้ได้ผลที่ดีขึ้น
  • การใช้ความเย็น (Cryotherapy) การใช้ไนโตรเจนเหลวเพื่อแช่แข็ง และทำลายเนื้อเยื่อคีลอยด์ ช่วยให้แผลค่อยๆ ยุบลง อาจรู้สึกเจ็บขณะรักษา และต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อผลที่ดี

 

การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment)

  • การตัดแผลเป็นออก (Surgical Excision) มักใช้กับแผลเป็นขนาดใหญ่ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจใช้ร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์ หรือการปิดแผลด้วยแผ่นซิลิโคน เพื่อลดเสี่ยงการเกิดซ้ำ
  • การผ่าตัดแบบตัดทีละน้อย (Serial Excision) ใช้กับแผลเป็นขนาดใหญ่ โดยแพทย์จะค่อยๆ ตัดแผลออกเป็นระยะๆ เพื่อลดขนาดของแผลเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
  • การขัดกรอผิวหนัง (Dermabrasion) ใช้กับแผลเป็นพื้นผิวขรุขระ เช่น แผลเป็นจากสิวอักเสบ หรือโรคสุกใส ซึ่งช่วยปรับผิวให้เรียบขึ้น แต่มีความเสี่ยงที่สีผิวอาจเข้มขึ้นหลังการรักษา

 

การฉายรังสี (Radiotherapy) การใช้รังสีปริมาณต่ำหลังการผ่าตัด ช่วยยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ลดความเสี่ยงในการเกิดคีลอยด์ซ้ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นขนาดใหญ่ และเกิดซ้ำบ่อย

ทั้งนี้ การรักษาอาจเริ่มจากการใช้แผ่นซิลิโคน เทปเหนียว และการฉีดยาสเตียรอยด์ หากไม่ได้ผลอาจใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ ส่วนการผ่าตัดและการฉายรังสีมักเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะใช้เมื่อแผลมีขนาดใหญ่ หรือรักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่ได้ผล โดยการรักษาแผลคีลอยด์มักต้องใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

 

แผลคีลอยด์สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่ มีวิธีป้องกันอย่างไร?

แผลคีลอยด์มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ อย่างไรก็ตามเราสามารถลดโอกาสการเป็นซ้ำได้ ดังนี้

  • รักษาความสะอาดของแผล และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การใช้ยาทาเฉพาะจุด หรือแผ่นซิลิโคนเพื่อลดความเสี่ยงของการอักเสบ และป้องกันการเกิดแผลเป็นนูน
  • หลีกเลี่ยงการขีดข่วน หรือกดทับแผลแรงๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ
  • การใช้แผ่นกดทับ (Pressure Therapy) หรือเสื้อผ้ารัดพิเศษ (Pressure Garment) เป็นวิธีที่ช่วยควบคุมการสร้างเนื้อเยื่อแผลเป็น เหมาะสำหรับแผลขนาดใหญ่ เช่น แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก ควรใส่ตลอด 6 เดือนถึง 1 ปีแรก หลังจากเกิดแผล
  • การนวดแผลเป็น (Scar Massage) โดยใช้แรงกดที่เหมาะสม และอาจใช้ร่วมกับครีมหรือเจลลดแผลเป็น ช่วยลดการขยายตัวของแผลเป็นและทำให้แผลนุ่มขึ้น โดยควรเริ่มนวดบริเวณแผลอย่างสม่ำเสมอ ในช่วง 3-6 เดือนแรกหลังจากแผลหาย เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และลดโอกาสเกิดคีลอยด์
  • การใช้ยาสเตียรอยด์ (Steroid Therapy) ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาทาสเตียรอยด์ร่วมด้วย เพื่อช่วยควบคุมแผลเป็นในระยะยาว
  • พบแพทย์เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง หากแผลมีแนวโน้มจะกลับมาเป็นซ้ำ ควรเริ่มการรักษาโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้แผลลุกลาม

 

แผลคีลอยด์สามารถรักษาและลดความเสี่ยงในการเกิดซ้ำได้ ด้วยการดูแลที่เหมาะสมและเลือกวิธีรักษาตามหลักการแพทย์ หากคุณกังวลเกี่ยวกับแผลคีลอยด์ สามารถขอรับคำปรึกษาที่โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และแนวทางการรักษาที่ได้มาตรฐาน พร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เพื่อให้คุณได้รับการดูแลที่เหมาะสม ปรึกษาเราวันนี้ เพื่อความมั่นใจในการรักษาแผลของคุณ

ลงทะเบียน ปรึกษาแพทย์ โดยไม่มีค่าใช้จ่าย คลิก

 

นพ. ศิขริน ศรพิพัฒน์พงศ์
ศัลยแพทย์เฉพาะทางการผ่าตัดผ่านกล้อง และการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน
โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน


แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ



Loading...
Loading...