นพ. วิชิต อาภรณ์วิรัตน์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งวิทยา ซึ่งคุณหมอได้เล่าถึงแรงบันดาลใจและประสบการณ์ในการศึกษาและการทำงานว่า…

 

 

“หลังจากที่หมอได้ทำงานเป็นแพทย์แล้ว หมอคิดว่าน่าจะศึกษาต่อเฉพาะทางด้านใดหน้าหนึ่ง ตอนนั้นเห็นว่าสาขาทางด้านโลหิตวิทยาเป็นสาขาที่ขาดแคลนแพทย์ หมอจึงคิดว่าถ้าเราได้เรียนทางด้านนี้ ก็น่าจะมีส่วนช่วยคนไข้ได้มาก จึงตัดสินใจเข้าเรียนด้านโลหิตวิทยาที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พอเรียนจบแล้ว หมอก็ได้กลับไปรับราชการต่อที่เดิม ซึ่งตอนนั้นหลักๆ ก็จะดูแลคนไข้มะเร็งทุกชนิด มีทั้งคนไข้เกี่ยวกับด้านเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

 

เมื่อได้รักษาคนไข้มะเร็งจำนวนมาก หมอจึงตัดสินใจไปเรียนต่อทางด้านมะเร็งวิทยาที่ศิริราชพยาบาล หลังเรียนจบจึงได้สอบวุฒิบัตรอายุรศาสตร์ทั่วไป และเข้ารับราชการที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

 

ต่อมาหมอได้ทุนจากมะเร็งวิทยาสมาคมให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้านการปลูกถ่ายไขกระดูกที่โรงพยาบาลในเครือของ Harvard Medical School พอศึกษาจบก็ได้ทำงานด้านการปลูกถ่ายไขกระดูกที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ จนเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าแพทย์ในแผนกเคมีบำบัด โดยทำงานด้านบริหารและการรักษา ปัจจุบันหมอยังทำงานวิจัยโดยร่วมมือกับทางต่างประเทศ ทั้งร่วมวิจัยกับบริษัทยาและในต่างประเทศอยู่อีกกว่า 30 โครงการ โดยมีโครงการที่สำเร็จแล้วและได้ตีพิมพ์ด้วยแล้วอยู่พอสมควร”

 

 

ประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง

คุณหมอวิชิต เล่าว่า การรักษามะเร็งจะคาดคะเนผลแบบ 100% ได้ยาก เพราะคนไข้มาด้วยความรุนแรงของโรคที่แตกต่างกัน ในคนไข้บางรายรักษาหายขาดแล้ว แต่ภายใน 1-2 ปี มะเร็งกลับมาอีกก็มี ดังนั้นกระบวนการรักษามะเร็งก็มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวปะปนกันเหมือนโรคอื่นๆ…

 

 

“การที่มะเร็งกลับมาหลังจากรักษาหายแล้วเป็นวิถีทางธรรมชาติ หมอมีหน้าที่ทำให้คนไข้หายดีให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ยาเคมีสูตรใหม่ หรือให้ยาเคมีบำบัดเท่าเดิมแต่ให้ในระยะเวลาที่สั้นลง ในคนไข้บางรายที่ดูแล้วเหมือนจะหมดหวัง โรคกระจายไปทั่วร่างกาย แต่กลับมีการตอบสนองต่อการรักษาที่ดี พอให้ยาเคมีแล้วคนไข้สบายขึ้น มีชีวิตอยู่ได้อีก 5-6 ปี หรือมากกว่านั้น และมีทั้งในกรณีหายขาดและยืดชีวิตออกไปด้วยการรักษาแบบเคมีบำบัดหรือฉายแสง ทั้งนี้การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของหมอที่จะเลือกการรักษาที่ดีที่สุดให้คนไข้ แต่จะสำเร็จหรือก็ต้องประเมินการตอบสนองต่อการรักษาของคนไข้ด้วย” 

 

 

ความรุนแรงของมะเร็งระยะสุดท้าย

คุณหมอวิชิต ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมะเร็งว่า…

 

 

“มะเร็ง ต่อให้เป็นระยะสุดท้าย ความรุนแรงของมะเร็งของแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน จุดมุ่งหมายของการรักษาของหมอก็เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรค โดยวิธีการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งที่ผ่านมา หมอได้ทำงานร่วมกับแพทย์ด้านฉายแสงเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ประสบความสำเร็จอยู่หลายราย เช่น มะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยมีชีวิตยืนยาวมาร่วม 20 ปี และผู้ป่วยมะเร็งโพรงหลังจมูกระยะสุดท้ายก็หายเป็นปกติมานานร่วม 15 ปีแล้ว”

 

 

ปณิธานในการรักษา ที่มุ่งให้คนไข้หายดี

เนื่องจากแพทย์ที่ศึกษามาทางด้านอายุรศาสตร์มะเร็งก็จะมีความรู้ความสามารถในการรักษาพอๆ กันทุกคน ผลการรักษาส่วนใหญ่โดยรวมจึงไม่แตกต่างกันนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแพทย์แต่ละท่านว่าจะวางแนวทางการรักษาอย่างไร มองว่าจะสามารถช่วยอะไรผู้ป่วยได้มากแค่ไหน นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การรักษาของแพทย์แต่ละท่านแตกต่างกันไปบ้าง แพทย์บางท่านหากพิจารณาแล้วว่ามะเร็งที่เป็นไม่สามารถผ่าตัดรักษาให้หายได้ ก็อาจจะเลือกวิธีรักษาแบบประคับประคอง

 

 

แต่จากประสบการณ์การรักษามะเร็งของคุณหมอวิชิต อาภรณ์วิรัตน์ จะมีจุดมุ่งหมายและปณิธานที่มุ่งเน้นการรักษามะเร็งให้หายขาด ไม่ใช่แค่การประคับประคองเท่านั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งกับคนไข้ที่ยังมีใจสู้และอยากหายจากโรคนี้ให้ได้ ไม่ว่าระหว่างทางในการรักษาจะเกิดอะไรขึ้น