แค่ปรับพฤติกรรม...ก็รักษา “กรดไหลย้อน” (GERD) ได้

<h2><span style="color: #00826a;">โรคกรดไหลย้อน เกิดจากสาเหตุอะไร? </span></h2>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>กรดไหลย้อน หรือ GERD (Gastroesophageal Reflux Disease)</strong></span> เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหาร ทำให้ความดันของหลอดอาหารต่ำลง หรือเปิดบ่อยกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่  อาหารและยาบางชนิด ภาวะน้ำหนักเกิน ความเครียด หรือความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารสู่หลอดอาหารมากขึ้น</p>
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">โรคหรืออาการที่เป็น&#8230;ใช่กรดไหลย้อนหรือไม่ รู้ได้ด้วยวิธีนี้ ?</span></h2>
<ul>
<li>การตรวจวัดการทำงานของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร (Esophageal manometry)</li>
<li>การตรวจวัดการไหลย้อนของกรดที่หลอดอาหาร (Esophageal pH monitoring)</li>
<li>การส่องกล้องตรวจในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร (Gastroscopy)</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">“กรดไหลย้อน” รักษาได้นะ! </span></h2>
<ul>
<li>ปรับเปลี่ยนนิสัย และการดำเนินชีวิตประจำวัน (lifestyle modification)</li>
<li>หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค</li>
<li>การรักษาโดยการใช้ยา</li>
<li>การผ่าตัด</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">พฤติกรรมที่ควรเปลี่ยน&#8230;เพื่อรักษา “กรดไหลย้อน” </span></h2>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>นิสัยส่วนตัว</strong></span></p>
<ul>
<li>อย่าให้เครียด และงดการสูบบุหรี่</li>
<li>หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่น โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว</li>
<li>พยายามลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักเกิน</li>
<li>ถ้ามีอาการท้องผูก ควรรักษาและหลีกเลี่ยงการเบ่งถ่าย</li>
</ul>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>นิสัยในการรับประทานอาหาร</strong></span></p>
<ul>
<li>หลังรับประทานอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การยกของหนัก การเอี้ยวหรือก้มตัวในทันที ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 3 ชม.</li>
<li>รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอด อาหารมัน อาหารย่อยยาก พืชผักบางชนิด เช่น หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ และอาหารฟาสต์ฟู้ด</li>
<li>หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกช็อกโกแลต ถั่ว ลูกอม peppermints เนย ไข่ นมหรืออาหารที่มีรสจัด เช่น เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด  กาแฟ ชา น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์</li>
<li>รับประทานอาหารปริมาณพอดีในแต่ละมื้อ ไม่ควรรับประทานอาหารจนอิ่มแน่นท้องมาก</li>
</ul>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>นิสัยการนอน</strong></span></p>
<ul>
<li>ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที  หรืออย่างน้อยควรเว้นระยะห่าง 3 ชม.</li>
<li>เวลานอน ควรหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้นประมาณ 6-10 นิ้วจากพื้นราบ</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">ทานยารักษากรดไหลย้อนอย่างไร&#8230;ให้ถูกต้อง ?</span></h2>
<p>ควรรับประทานยาสม่ำเสมอตามแพทย์สั่ง ไม่ควรลดขนาดยาหรือหยุดยาเอง และมาพบแพทย์ตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องเพื่อปรับขนาดยา อย่าซื้อยารับประทานเองเวลาป่วย เนื่องจากยาบางชนิดจะทำให้กระเพาะอาหารมีการหลั่งกรดเพิ่มขึ้น หรือกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัวมากขึ้น ประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มีอาการของ GERD สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา</p>


โรคกรดไหลย้อน เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายของหลอดอาหาร ทำให้ความดันของหลอดอาหารต่ำลง หรือเปิดบ่อยกว่าปกติ รวมถึงความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร ทำให้กรดจากกระเพาะอาหารไหลสู่หลอดอาหารมากขึ้น

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล

แค่ปรับพฤติกรรม...ก็รักษา “กรดไหลย้อน” (GERD) ได้

Tel

Email

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล