โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก (Stroke) คือ ภาวะที่เกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น ส่งผลให้เซลล์สมองเสียหายได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การเข้าใจอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันจึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ และช่วยให้เราดูแลตัวเองและคนรอบข้างได้ดียิ่งขึ้น
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง
การสังเกตพบอาการของโรคหลอดเลือดสมองตั้งแต่เนิ่น ๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการลดความรุนแรงของการเกิดโรค โดยแพทย์มีเทคนิคสำคัญในการสังเกตได้ง่าย ๆ ที่เรียกว่า B.E.F.A.S.T. โดยเทคนิคนี้ประกอบด้วยจุดสังเกตอาการ 6 ข้อดังนี้
- B – Balance (การทรงตัว): สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการสูญเสียการทรงตัว เดินไม่ตรง หรือรู้สึกเวียนศีรษะหรือไม่
- E – Eyes (สายตา): สายตาเริ่มพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดเจน หรือเห็นภาพซ้อนในทันทีหรือไม่
- F – Face (ใบหน้า): สังเกตว่าผู้ป่วยมีการยิ้มที่ผิดปกติหรือไม่ เช่น ยิ้มแล้วมุมปากข้างหนึ่งตก ปากเบี้ยว แสดงถึงการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อใบหน้า
- A – Arms (แขน): ให้ผู้ป่วยยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกัน ถ้าหากแขนข้างหนึ่งตกลงหรือลดระดับแสดงว่าอาจมีปัญหาการอ่อนแรงที่แขน
- S – Speech (การพูด): สังเกตว่าผู้ป่วยมีปัญหาการพูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดไม่ได้ หรือพูดซ้ำ ๆ คำเดิมหรือไม่
- T – Time (เวลา): หากสังเกตพบอาการใด ๆ ข้างต้น กับตัวเองหรือคนใกล้ตัวต้องรีบโทรแจ้งขอความช่วยเหลือทันที ภายใน 4 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวของผู้ป่วย
สาเหตุของโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการอุดตันหรือการแตกของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ:
- หลอดเลือดสมองตีบ (Ischemic Stroke): เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมอง สาเหตุหลักมักเกิดจากการสะสมของไขมันหรือคราบหินปูน ทำให้การไหลเวียนของเลือดไปยังสมองลดลง ส่งผลให้สมองขาดออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็น
- หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke): เกิดจากหลอดเลือดในสมองแตก ทำให้เลือดไหลออกมาสู่เนื้อสมองหรือรอบๆ สมอง โดยมักเกิดจากความดันโลหิตสูงที่ทำให้หลอดเลือดเปราะบางและแตกได้ง่าย การแตกของหลอดเลือดอาจก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อเนื้อสมองและทำให้การฟื้นฟูยากขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมอง
มีหลายปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งได้แก่:
- ความดันโลหิตสูง: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ทำให้หลอดเลือดมีความดันมากเกินไป ส่งผลให้หลอดเลือดแตกหรืออุดตันได้ง่ายขึ้น
- โรคเบาหวาน: ทำให้หลอดเลือดเสี่ยงต่อการอุดตัน เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงอาจทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและอุดตันได้ง่าย
- ไขมันในเลือดสูง: การมีไขมันในเลือดสูงเพิ่มโอกาสการสะสมของคราบไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแคบลงและเสี่ยงต่อการอุดตัน
- การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและลดความยืดหยุ่น ทำให้มีความเสี่ยงต่อการอุดตันและการแตกของหลอดเลือด
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
- การขาดการออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายทำให้หลอดเลือดไม่แข็งแรงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาหลอดเลือด
วิธีการรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
การรักษาโรคหลอดเลือดสมองขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของอาการ โดยมีวิธีการหลัก ๆ ดังนี้:
การตรวจวินิจฉัย
-
- การตรวจด้วยคลื่นสะท้อนในสนามแม่เหล็ก (MRI): เป็นการตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กที่ถ่วงน้ำหนักแบบกระจาย สามารถตรวจหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ ผู้ที่มีอาการสามารถเข้ารับการตรวจได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- การตรวจหลอดเลือดสมองด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CTA): เป็นวิธีการตรวจที่สามารถวินิจฉัยโรคหลอดเลือดได้ทุกส่วนของร่างกาย และยังสามารถตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ Computed Tomography Perfusion (CTP) เพื่อหาค่าอัตราการไหลของเลือดในบริเวณที่สงสัยว่ามีความผิดปกติ
- การตรวจหลอดเลือดสมองโดยใช้สายสวน (Cerebral Angiography): เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง, โรคหลอดเลือดในสมองผิดปกติแต่กำเนิด, การผ่าตัดทำเส้นเลือดล้างไต (AVFs) และการตีบของหลอดเลือดสมองทั้งภายนอกและภายในโพรงกะโหลกศีรษะ
- การตรวจหลอดเลือดสมองโดยใช้ความถี่สูง: เช่น Carotid Duplex Ultrasound เพื่อตรวจหลอดเลือดส่วนนอกโพรงกะโหลกบริเวณคอ และ Transcranial Doppler Ultrasound เพื่อตรวจหลอดเลือดขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณฐานของกะโหลกศีรษะ ใช้ตรวจดูการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือด
- การตรวจภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiography): เช่น Transthoracic Echocardiography (TTE) และในบางกรณีอาจใช้ Transesophageal Echocardiography (TEE) เพื่อตรวจพบรอยโรคที่หัวใจ เช่น ลิ่มเลือดในหัวใจหรือความผิดปกติของลิ้นหัวใจ
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง
-
- การใช้ยา: เช่น ยาละลายลิ่มเลือด สำหรับกรณีที่มีการอุดตันของหลอดเลือด ยาเหล่านี้ต้องใช้ภายใน 4.5 ชั่วโมง หลังเริ่มมีอาการ เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือด
- การรักษาด้วย Endovascular Intervention Therapy : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน โดยใช้ขดลวดเข้าไปลากก้อนเลือดที่อุดตันภายในหลอดเลือดออกมา โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด โดยต้องทำภายในเวลา 8 ชั่วโมงนับตั้งแต่คนไข้เริ่มมีอาการ และต้องเปิดหลอดเลือดให้ได้ภายในระยะเวลา 8 ชั่วโมงหลังจากมาถึงโรงพยาบาล
- การรักษาโรคหลอดเลือดสมองด้วยการผ่าตัด (Surgery): เป็นหนึ่งในวิธีที่ใช้รักษาผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดสมองอุดตัน โดยการผ่าตัดจะเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาหลอดเลือดเพื่อฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือดในสมองอย่างเร่งด่วน
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โดยทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง จะมีทั้งปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้และปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
-
- อายุ: ผู้มีอายุมากกว่า 65 ปี มีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากภาวะเสื่อมของหลอดเลือดและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว
- เพศ: เพศชาย มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองมากกว่าเพศหญิง
- กรรมพันธุ์: ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหากประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคในขณะที่มีอายุยังน้อย
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้จากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
-
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคเบาหวาน
- ไขมันในเลือดสูง
- มีระดับคอเลสเตอรอลสูง
- โรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว หรือโรคลิ้นหัวใจติดเชื้อ
- การสูบบุหรี่หรือได้รับควันบุหรี่เป็นประจำ
- โรคอ้วน
- การดื่มสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- มีการใช้สารเสพติดหรือสารกระตุ้น
โดยการควบคุมปัจจัยเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ดียิ่งขึ้น
โรคหลอดเลือดสมองเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ดังนั้นหากรู้ตัวว่ามีอาการหรือมีความเสี่ยงตามที่ได้กล่าวมา โดยผู้ป่วยและครอบครัวสามารถนัดพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองหรือรักษาได้ที่ ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลพญาไท 1 อาคาร 3 ชั้น 5 โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินอาการและดูแลรักษาผู้ที่เข้ารับการตรวจอย่างใกล้ชิด เพื่อผลลัพธ์การรักษาที่ดีที่สุด